
วันที่ 9 ม.ค. 66 จากกรณีนักเรียนชายวัย 18 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้ ทางครอบครัวแจ้งว่า น้องสอบคัดเลือกเป็นนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ตรงข้ามโรงงาน ถุงสูญญกาศ / ถุงซีลสูญญากาศ แต่มีปัญหาเรื่องทุนการศึกษา พร้อมกับเปิดรับบริจาค ก่อนที่จะออกมาประกาศขอบคุณผู้ใจบุญ พร้อมกับปิดรับบริจาคเงินไปเมื่อวานนี้ โดยมีตัวแทนจากมูลนิธิแห่งหนึ่ง แจ้งความประสงค์ดูแลเรื่องทุนการศึกษาของน้องจนจบการศึกษาด้วย
แต่แล้วชาวเน็ตได้มีการแชร์ภาพจากเฟซบุ๊กเพจหนึ่ง อ้างว่าเป็นภาพของน้องขณะที่ถือโทรศัพท์ไอโฟน 12 Pro Max ใส่นาฬิกา Apple Watch พร้อมกับตั้งคำถามว่า ใช้ของมีราคาขนาดนี้ จะมาขอรับบริจาคทำไม หรือทำไมไม่ไปกู้ กยศ.
นอกจากนี้ ยังมีภาพของคณะพยาบาล มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งโพสต์แสดงความยินดีกับน้องๆ ที่ผ่านการคัดเลือก T’CAS 66 ซึ่งมีภาพของน้องรวมอยู่ด้วย พร้อมกับจี้ให้น้องเผยยอดเงินบริจาคที่แท้จริง ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด นายพิเชษ (สงวนนามสกุล) อายุ 55 ปี ซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ของครอบครัวดังกล่าว พร้อมกับ นายสมคิด (สงวนนามสกุล) อายุ 72 ปี อดีต ผอ.โรงเรียนแห่งหนึ่ง ได้เดินทางมาพบสื่อมวลชน จ.พัทลุง เพื่อให้รายละเอียด
โดยทางด้านนายพิเชษ กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายจากทางญาติๆ ให้เข้าไปดูแลครอบครัวดังกล่าว ก็พบว่าครอบครัวดังกล่าวเป็นครอบครัวที่เปราะบาง เป็นครอบครัวที่ยากจนจริง มีรายได้จากการกรีดยาง รับซื้อเศษยางประมาณ 300–400 บาท บางวันเงินจะซื้อข้าวสารให้ลูกทั้ง 2 คนก็แทบไม่มี เนื่องจากมีฝนตกหนักไม่ได้ออกไปกรีดยาง ตนจึงนำเรื่องมาปรึกษากับญาติๆ และเพื่อนๆ ว่า จะช่วยเหลือครอบครัวดังกล่าวอย่างไรบ้าง ต่อมาก็ได้รับการช่วยเหลือเงิน ในการไปซื้อข้าวสาร น้ำมันพืช ฯลฯ
จากนั้นจึงได้นำเรื่องนี้มาโพสต์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัว เพื่อระดมทุนให้เด็กได้เรียนจบ ม.6 และยังพบว่า ทางครอบครัวเครียดหนัก เพราะลูกสอบติดแพทย์ แต่ไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนไปศึกษาต่อ ถึงขั้นกอดกันร้องไห้ สำหรับตนต้องการให้น้องเรียนจบ ม.6 ไปก่อน ส่วนการศึกษาต่อคณะแพทย์ ยังมีเวลาที่จะร่วมกันคิดแก้ไขปัญหาดังกล่าว
เมื่อถามถึงกระแสดราม่าที่เกิดขึ้น นายพิเชษ กล่าวว่า น้องไม่ได้เรียนพิเศษที่ติวเตอร์ไหน แต่มีการค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมจากออนไลน์ ซึ่งอาจจะต้องใช้เครื่องมือที่ทันสมัย และถึงแม่จะไม่มีเงิน แต่ก็หายืมจากที่อื่น และผ่อนใช้เป็นงวดๆ เพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์ให้ลูกใช้ในการเรียนรู้ ก็ต้องขอบคุณผู้ใจบุญที่ส่งเงินมาช่วยเหลือครอบครัวน้อง ส่วนคนที่กล่าวโจมตี คงไม่รู้ว่าชะตาชีวิตของครอบครัวนี้เป็นอย่างไร วันที่ไม่มีจะกินมันเจ็บปวดขนาดไหน และน้องคือต้นกล้าทางการแพทย์
ด้านนายสมคิด เผยว่า ได้มีการพูดคุยกันก่อนในก่อนหน้านี้ที่จะเปิดรับบริจาค โดยแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อดูแลเงินบริจาคของน้อง ประกอบด้วยนายกเทศบาล ผอ.โรงเรียนแห่งหนึ่ง ตัวแทนครู ตัวแทนของครอบครัว โดยตนไม่ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องดังกล่าว โดยทุกฝ่ายก็รับปากที่จะดำเนินการแล้ว ส่วนเงินยอดบริจาคนั้น ขณะนี้มีเงินเข้ามาทางระบบบัญชี ประมาณ 8 แสนบาทเศษ ส่วนทางอื่นๆ ตนยังไม่ทราบตัวเลขที่แน่นอน ซึ่งทุกๆ ฝ่ายปรึกษากันเพื่อปิดบัญชีในเวลาต่อมา เพราะเงินจำนวนดังกล่าวสามารถดูแลเยียวยาครอบครัวได้แล้ว
นายสมคิด กล่าวอีกว่า การที่เขามีโทรศัพท์อะไร เขามีโน้ตบุ๊กไหม ไม่ได้บ่งบอกว่าเขามีเงิน ถ้าเขามีเงินทำไมเขาจึงไม่มาเรียนในตัวจังหวัด แต่การเรียนที่โรงเรียนขยายโอกาสจนจบ ม.3 แล้วมาเรียนต่อที่โรงเรียนใกล้บ้าน การที่เขามีความพร้อมด้านสมอง แต่ไม่ไปเรียนต่อที่โรงเรียนที่มีชื่อเสียง เพราะเขาไม่มีเงิน การที่เขาไปซื้อโน้ตบุ๊กมาใช้ เพราะเขาต้องการนำมาค้นคว้าหาความรู้ เพราะโรงเรียนก็ไม่ได้ช่วยเขาทั้งหมด และน้องตั้งใจจะเป็นหมอ แม่ต้องเป็นหนี้นับแสนหรือมากกว่านั้น เพื่อที่จะหาอุปกรณ์มาให้ลูกได้ค้นคว้าหาความรู้ ตนจึงขอฝากไปยังทุกฝ่ายว่า เวลาเราจะพิจารณาใครจะต้องพิจารณาให้รอบด้าน อย่าเอาสิ่งที่ปรากฏหรือคนอื่นบอกกล่าวว่าเป็นแบบนั้นแบบนี้มาคิดเอง ส่วนแม่นั้นก็ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับยอดเงินดังกล่าวแต่อย่างใด.